หลุมสิว ปัญหากวนใจของหนุ่ม ๆ สาว ๆ

หลุมสิว

สิวปัญหากวนใจของหนุ่ม ๆ สาว ๆ ทุกคนเมื่อเกิดก็จะมีการดูแลที่แต่ต่างกันแล้วแต่ลคนไป บางคน พยายามบีบสิวอย่างผิดวิธีจนทำให้สิวอุดตันธรรมดา ๆ กลายเป็นสิวกลามจนกินพื้นที่ลึกลงไปถึงเนื้อใน ถึงขั้นทำให้เนื้อหายจนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อหลุมสิว เมื่อมีหลุมสิวอยู่บนใบหน้าแล้ว ก็คงต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไป ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ผิวเติมเต็มได้เหมือนเดิม แต่ก็สามารถฟื้นฟูและเติมเต็มหลุมได้ถึง 70-80%

ระดับความรุนแรงของหลุมสิว

ระดับ Ice pick scar (ระดับรุนแรงที่สุด) หลุมลึกปากแคบ ขอบแผลไม่เรียบ ก้นแผลแหลมคล้ายกับกรวย มีลึกถึงหนังกำพร้าหรือเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ปากแผลมีขนาดน้อยกว่า 2 มิลลิเมตร เป็นระดับที่ใช้ยาทาก็เอาไม่อยู่ รักษาได้ยากมาก เพราะแนวหลุมเป็นไปในทางลึก กว่าผิวจะฟื้นฟูจนเต็มคงต้องใช้เวลานานในการรักษา ซึ่งทำได้แค่ช่วยให้รอยมันตื้นขึ้นมาเท่านั้น

ระดับ Box scar (ระดับรุนแรงปานกลาง) มีลักษณะเป็นบ่อ รอยแผลกว้าง 3-4 มิลลิเมตร ปากหลุมและก้นหลุมมีความกว้างเท่าๆ กัน มีขอบชัดเจนความลึกแค่ชั้นผิวเท่านั้น สามารถใช้ยาทาควบคู่ไปกับการทำทรีตเมนต์ได้ อาจจะเหลือร่องรอยจุดด่างดำ หลังจากนั้นก็ดูแลเรื่องรอยด่างดำต่อเนืองไป

ระดับ Rolling scar (ระดับทั่วไป) มีลักษณะเป็นหลุมสิวแบบตื้น ๆ กินพื้นที่แค่ส่วนบนของผิวเพียงเล็กน้อย มีขนาดมากกว่า 4-5 มิลลิเมตร ซึ่งมักจะเกิดจากการแกะเกาสิวที่อยู่ในระดับที่ไม่ลึกมากนัก รักษาได้ง่ายโดยการใช้ยาทาในการเติมเต็มเนื้อผิวได้

วิธีรักษาหลุมสิว

ปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษาแผลจากหลุมสิว ดังนี้

1.เลเซอร์ (Laser)

เลเซอร์หลุมสิว เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมมาก ซึ่งสามารถทำให้คอลลาเจนใต้ผิวถูกกระตุ้นให้สร้างตัวมากขึ้นเพื่อช่วยซ่อมแซมส่วที่สึกหรอ เป็นวิธีการรักษาที่ให้ประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ โดยเลเซอร์ที่นิยมนำมาใช้รักษา คือ

เลเซอร์หลุมสิว

Erbium Yag laser หรือเลเซอร์ที่ใช้ความยาวคลื่น 2,490 nm IPL การทำเลเซอร์แบบนี้อาจทำให้เจ็บและมีสะเก็ดแผลเกิดขึ้นได้ เวลาทำจะทายาชาช่วย ควรงดออกจากบ้านประมาณ 1 สัปดาห์ และหลีกเลี่ยงแสงแดดยตรง Fractional CO2 หรือเลเซอร์ที่ใช้ความยาวคลื่น 10,600 nm เป็นอีกเลเซอร์ที่ให้ผลดี มีความรุนแรงมาก แต่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และช่วยตัดพังผืดแบบแนวดิ่งได้ดี แต่ก็ทำลายผิวชั้นบนไปมากเช่นกัน ทำให้สภาพหน้าบางคนเรียกได้ว่าเยินไปเป็นเดือนสองและใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน ก่อนที่ผิวจะค่อย ๆ เริ่มสร้างตัวขึ้นใหม่อย่างธรรมชาติ แต่ก็ได้ผลดีในการรักษาหลุมสิวเกือบ ๆ 70%เลเซอร์ Fraxel โดยใช้เครื่อง Fraxel restore Laser และ Fine scan Laser  เป็นเลเซอร์อีกวิธีที่ได้ผลดี เป็นการใช้คลื่นแสงที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ช่วยซ่อมแซมบริเวณผิวที่เป็นหลุม หลังการรักษาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด และในขณะทำจะรู้สึกเจ็บบริเวณใบหน้า แต่ผลลัพธ์จะเป็นที่น่าพอใจ เรียกได้ยอมเจ็บเพื่อความสวย การทำ IPL สามารถใช้ได้ดีกับหลุมสิวระดับทั่วไป (Rolling scar) IPL จะเป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งระยะของแสงจะมีการปรับให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาผิว

2.กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมญี (Dermabrasion )

เป็นการใช้เครื่องมือกรอผิวหนังชั้นกำพร้าออก เพื่อเผยผิวใหม่ที่ร่างกายสร้างมาแทนที่ และยังช่วยให้คอลลาเจนและโปรตีนผิว (Elastin) ทำงานได้ดีขึ้น ผลที่ได้อาจไม่ค่อยทันใจเท่าไร และต้องทำหลายครั้ง เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทระดับ Rolling scar และ Box scar

3.ใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)

เป็นวิธีรักษาโดยการกระตุ้นให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไป ซึ่งจะใช้สารประกอบเคมี 3 ชนิดในการเร่ง คือ Glycolic Acid ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่สกัดจากผลไม้ Salicylic Acid ละลายได้ดีเมื่อทาลงบนผิว และ Trichloroacetic Acid(TCA) มีคุณสมบัติในการสลายโปรตีนผิวหนัง การใช้กรด TCA เพื่อช่วยเร่งผิวใหม่ให้เกิดการแบ่งตัวเร็วขึ้น มันจึงช่วยทำให้รอยหลุมค่อย ๆ ตื้นขึ้น ซึ่งการทานั้นจะเป็นการแต้มเฉพาะรอยหลุมที่เป็นเท่านั้น เพราะกรด TCA จะทำให้ผิวเป็นสะเก็ดดำ ๆ การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น AHA  BHA  PHA  เพื่อเป็นการช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออก ทำให้เกิดการซ่อมแซมหลุมสิวดูตื้นขึ้น

หลุมสิว

4.ใช้ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอหรือกรดวิตามินเอ

ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์กรดวิตามินเอ สำหรับคนที่กลัวการเป็นสะเก็ดและไม่รีบร้อนในการรักษา คุณสามารถใช้ยาทากรดวิตามินเอ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยนำมาทาบนรอยหลุม ซึ่งสามารถทาได้บ่อยกว่ากรด TCA อีกด้วยการรับประทานยาที่สกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ (RETINOIDS) จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อคุณมีปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาสิว เพราะยา Roaccutance, Acnotin, Isotretinoin สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างผิวใหม่เพื่อช่วยเติมเต็มรอยหลุม ช่วยควบคุมความมันได้อีกด้วย แต่มีผลต่อไขมันทั่วร่างกาย ระหว่างที่ใช้ยาอาจทำให้ตาแห้ง ผิวแห้ง ปากแห้งได้ ดังนั้นการใช้ยาในกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถคาดหวังผลในการรักษาเพราะเป็นเพียงตัวช่วยเสริมเท่านั้น

5.การตัดพังผืด (Subcision)

เป็นวิธีการรักษาด้วยการสอดเข็มเข้าใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่รั้งผิวไว้ โดยแพทย์จะสอดเข็มลงไปใต้ผิวหนังเพื่อทำการตัดพังผืดใต้ผิวหนัง แล้วทำการเซาะทีละหลุม ๆ ค่อย ๆ ทำไปจนทั่วใบหน้าได้ผลดีกับหลุมสิวประเภท Rolling Scar หลังการทำจะมีแผลแต่ละรอยเข็ม ผิวหนังที่โดนเซาะจะมีเลือดออกและอาจม่วงช้ำอยู่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ หลังจากนั้นหลุมสิวก็จะตื้น ผลข้างเคียงค่อยข้างมากจึงไม่เป็นที่นิยม

6.การผ่าตัด (Excision)

เป็นวิธีการรรักษาโดยการตัดแผลออกไปและค่อยเย็บติดเข้าหากัน เป็นวิธีที่เหมาะกับคนที่รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่หาย เป็นหลุมสิวไม่มากนัก แต่เป็นหลุมลึกและกว้าง วิธีนี้นิยมใช้รักษากับแผลหลุมสิวประเภท Ice-pick Scars และ Boxcar Scar แบ่งย่อยเป็น 4 วิธี คือ

– Punch excision เป็นการผ่าตัดรอยหลุมสิวออก แล้วเย็บแผลให้ติดกัน ทำได้กับหลุมสิวระดับ Box scar &Ice pick scar ,

– Punch elevation เป็นการยกเนื้อบริเวณหลุมสิวขึ้นมาให้เท่ากับเนื้อผิวปกติ แล้วทำการเย็บเนื้อที่ยกขึ้นมาให้ติดกับเนื้อผิวโดยรอบ ทำได้กับหลุมสิวระดับ Box scar

– Punch grafting  การเอาเนื้อบริเวณอื่นมาปิดแทนที่หลุมสิว แล้วทำการเย็บปิดเพื่อให้เนื้อเยื่อเติบโตเต็มหลุมสิว เป็นวิธีที่เหมาะกับหลุมสิวที่ลึกไม่สม่ำเสมอ ทำได้กับหลุมสิวระดับ Box scar &Ice pick scar

– Elliptical excision เป็นการกรีดหลุมสิวให้เป็นวงรีและจัดการเย็บแผลให้ติดกันแบบแนบสนิท

7.การฉีดสารเติมเต็มหรือฉีดฟิลเลอร์ (Fillers injection)

เป็นวิธีการรรักษาโดยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปที่แผลหลุมสิว ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้สาร Hyaluronic Acid ในการฉีด เป็นอีกวิธีที่เหมาะกับการรักษาหลุมสิวระดับทั่วไปในระดับตื้นถึงลึกปานกลาง ซึ่งได้ผลประมาณ 30-70% เลย เพราะมันเป็นการฉีดสารเข้าไปเพื่อเติมเต็มรอยหลุมในทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ร่างกายสร้างเนื้อขึ้นมาเอง

8.Skin Needing

คือ การรักษาแบบที่ใช้เข็มที่มีขนาดเล็กมากจิ้มลงไปในผิว จึงทำให้ผิวสร้างตัวและฟื้นฟูได้เร็วขึ้น หลุมเต็มไวขึ้น การรักษาแบบนี้ในอดีตนั้นจะใช้วิธี Dermaroller หลัง ๆ มาจึงมีการเปลี่ยนมาใช้เครื่องมือประเภทอัตโนมัติที่มีการทำงานคล้ายคลึงกันแทน อย่าง Dermpoint และ Tri-m 

9.การใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF)

เป็นการส่งพลังงานเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เครื่องมือที่ใช้ก็มีหลายแบบด้วยกันครับ อย่างเช่นเครื่อง E-matrix ที่มีประโยชน์ในด้านการยกกระชับใบหน้าด้วย ให้ผลในการรักษาหลุมสิวได้มากที่สุด หรือประมาณ 70-80%  อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงน้อย 

การรักษาหลุมสิว

สิวว่าเป็นปัญหาแล้วร่องรอยหลังจากสิวหายแล้วไม่ว่าจะหายเองโดยธรรมชาติ หรือรักษาสิวเองจนหาย ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามีหลุมสิวเกิดขึ้น ซึ่งต้องการการดูแลและแก้ไขเพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนดังเดิม ซึ่งในปัจจุบันได้มีตัวช่วยทางเลือกให้มากมายดังได้กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อศึกษาข้อมูลแล้วก็เลือกให้เหมาะกับความต้องการ แล้วจะได้ผลลัพธ์ที่เราพึงพอใจนะคะ

Back To Top