ดูดไขมันอย่างไรให้ปลอดภัย ได้หุ่นสวย ไม่บวม

ดูดไขมัน

การดูดไขมันถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนที่ต้องการปรับรูปร่างให้ดูสมส่วนและมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้วแต่ยังคงมีไขมันส่วนเกินสะสมในบางจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือเอว แต่ถึงแม้การดูดไขมันจะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ หากไม่มีการเตรียมตัวหรือปฏิบัติอย่างถูกวิธี อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายต่อร่างกายได้

ดังนั้น การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมทั้งก่อนและหลังการทำหัตถการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและลดปัญหาการบวมช้ำหรือการติดเชื้อ วันนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ ของการดูดไขมัน แนวทางการเตรียมตัว และเคล็ดลับการฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณได้หุ่นสวยในแบบที่ต้องการอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

ดูดไขมัน คืออะไร?

การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นการศัลยกรรมความงามที่ช่วยปรับปรุงรูปร่างโดยกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย วิธีนี้ใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “Cannula” ซึ่งเป็นท่อขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์สูญญากาศ สอดเข้าไปใต้ผิวหนังผ่านแผลขนาดเล็ก จากนั้นทำลายและดูดไขมันออกมา เทคนิคนี้มักใช้ในบริเวณที่ไขมันสะสมยากต่อการกำจัดด้วยการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา แขน หรือใต้คาง

นอกจากช่วยลดไขมันสะสมแล้ว การดูดไขมันยังช่วยปรับรูปร่างให้กระชับและได้สัดส่วนมากขึ้น แต่ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักหรือทดแทนการดูแลสุขภาพ ผู้ที่เหมาะสมกับการดูดไขมันควรมีน้ำหนักใกล้เคียงกับมาตรฐานและต้องการปรับแต่งรูปร่างเฉพาะจุด

ดูดไขมันแบบไหนปลอดภัยที่สุด? เปรียบเทียบเทคนิคยอดนิยม

การดูดไขมันในปัจจุบันมีหลายเทคนิคที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง โดยแต่ละวิธีมีข้อดีที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยเฉพาะเมื่อทำที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ซึ่งมีทีมแพทย์มากประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย คุณจึงมั่นใจได้ทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและความพึงพอใจในผลลัพธ์

  1. Vaser Liposuction

การดูดไขมันด้วยเทคโนโลยี Vaser ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ในการสลายไขมัน ทำให้ไขมันที่สะสมเป็นก้อนแยกตัวง่ายขึ้น แล้วดูดออกผ่านท่อขนาดเล็ก วิธีนี้ช่วยลดการกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดและต้องการความละเอียด เช่น หน้าท้อง เอว หรือเหนียง ยังช่วยลดอาการเจ็บและลดระยะเวลาพักฟื้น

  1. BodyTite Liposuction

เทคนิค BodyTite ใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency – RF) ทั้งในการสลายไขมันและกระชับผิวในขั้นตอนเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อยหลังการดูดไขมัน โดยพลังงาน RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและตึงกระชับ

  1. Liposculpture

เทคนิค Liposculpture โดดเด่นในเรื่องของการปั้นรูปร่างให้เข้ารูปโดยละเอียด ถือเป็นการดูดไขมันที่เน้นความแม่นยำสูง เช่น การสร้าง Six Pack หรือการเน้นสัดส่วนให้ชัดเจน เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างดีอยู่แล้ว และต้องการปรับลุคให้เป๊ะกว่าเดิม

ข้อดี-ข้อเสียของการดูดไขมัน

ข้อดี

  • ได้ผลเร็ว เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน : การดูดไขมันช่วยลดปริมาณไขมันในบริเวณเป้าหมายได้ทันทีหลังการรักษา ซึ่งเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น เมื่อเทียบกับการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น เช่น การออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร
  • ปรับรูปร่างได้ตามต้องการ : สามารถกำจัดไขมันในบริเวณเฉพาะ เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือเหนียง ทำให้รูปร่างดูสมส่วนมากขึ้น
  • ลดไขมันในจุดที่ออกกำลังกายไม่สามารถกำจัดได้ : บางครั้งไขมันสะสมในบริเวณที่กำจัดออกได้ยาก เช่น ไขมันหน้าท้องส่วนล่างหรือต้นแขน การดูดไขมันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุด
  • เพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง : หลังการดูดไขมัน หลายคนรู้สึกพึงพอใจกับรูปร่างใหม่ ทำให้มั่นใจมากขึ้นในการแต่งตัวหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • สามารถทำร่วมกับวิธีอื่นได้ : ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำคู่กับการยกกระชับผิว หรือการปรับแต่งรูปร่างส่วนอื่นเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ข้อเสีย

  • มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด : แม้จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่การดูดไขมันยังคงมีความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ การเกิดลิ่มเลือด หรือการตอบสนองต่อยาชา
  • อาจเกิดรอยแผลเป็น : การดูดไขมันอาจทิ้งรอยแผลเล็ก ๆ ไว้ในบริเวณที่ทำ แม้จะพยายามซ่อนแผลในจุดที่ไม่เด่นชัด
  • ต้องพักฟื้นระยะหนึ่ง : หลังจากการดูดไขมัน ผู้ป่วยต้องใช้เวลาพักฟื้นเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่ และในบางรายอาจมีอาการบวมช้ำหรือปวดในบริเวณที่ทำ
  • ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาการลดน้ำหนักถาวร : หากไม่ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย ไขมันอาจกลับมาสะสมในส่วนอื่นของร่างกาย
  • ค่าใช้จ่ายสูง : การดูดไขมันมีราคาค่อนข้างสูง โดยขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและเทคนิคที่ใช้
  • ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล : รูปร่างหลังดูดไขมันอาจไม่สมบูรณ์แบบตามที่คาดหวัง และยังต้องดูแลสุขภาพเพื่อรักษาผลลัพธ์

การพิจารณาดูดไขมันควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ดูดไขมันเหมาะกับใคร

ดูดไขมันเหมาะกับใคร? และไม่เหมาะกับใคร?

เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีน้ำหนักคงที่แต่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด : เหมาะสำหรับผู้ที่รูปร่างสมส่วนแต่มีไขมันสะสมในบางจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือบริเวณเหนียง ซึ่งออกกำลังกายหรือลดน้ำหนักแล้วไม่สามารถลดได้
  • ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง : การดูดไขมันเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยาสลบ ผู้เข้ารับการรักษาควรมีสุขภาพแข็งแรงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
  • ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ซึ่งอาจทำให้แผลหายช้าหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

ไม่เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง : เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
  • สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร : การดูดไขมันในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และเด็ก อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกมาก
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมากหรือเป็นโรคอ้วน : การดูดไขมันไม่ใช่กระบวนการลดน้ำหนัก เหมาะสำหรับการปรับรูปร่างมากกว่า ผู้ที่น้ำหนักเกินมากควรพิจารณาการลดน้ำหนักด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การควบคุมอาหารและออกกำลังกายก่อน
  • ผู้ที่มีความคาดหวังไม่สมเหตุสมผล : เช่น ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนรูปร่างอย่างสุดโต่ง หรือคิดว่าการดูดไขมันสามารถป้องกันการสะสมไขมันในอนาคตได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง

อายุส่งผลต่อผลลัพธ์หลังดูดไขมันหรือไม่

อายุเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์หลังการดูดไขมัน โดยเฉพาะในเรื่องของความยืดหยุ่นของผิวหนัง ผู้ที่มีอายุน้อยกว่ามักจะมีผิวที่ยืดหยุ่นดีกว่า เนื่องจากเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวยังมีคุณภาพสูง ทำให้ผิวสามารถปรับตัวและกระชับเข้ากับรูปทรงใหม่ได้ดีขึ้น ผลลัพธ์จึงดูเรียบเนียนและเป็นธรรมชาติมากกว่า

สำหรับผู้ที่มีอายุมาก ความยืดหยุ่นของผิวหนังอาจลดลง เนื่องจากกระบวนการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวจึงมีโอกาสหย่อนคล้อยหรือไม่กระชับได้ง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและเทคนิคในการดูดไขมันปัจจุบัน เช่น การใช้เครื่องมือช่วยยกกระชับผิวหลังดูดไขมัน (เช่น เครื่องที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุหรือเลเซอร์) สามารถช่วยลดปัญหานี้ได้

นอกจากนี้ ผลลัพธ์ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น สุขภาพโดยรวมของผู้รับการดูดไขมัน การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด รวมถึงปริมาณไขมันที่ถูกดูดออกและตำแหน่งของการดูดไขมัน ดังนั้น แม้ว่าอายุจะเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ไม่ใช่ข้อจำกัดในการดูดไขมัน การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและร่างกายจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและน่าพอใจ

ดูดไขมัน ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

การดูดไขมันเป็นวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดที่ไม่สามารถลดได้ด้วยการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหาร วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับและสมส่วนมากขึ้น โดยสามารถทำได้ในหลายตำแหน่งทั่วร่างกาย เช่น

  1. หน้าท้อง
    ไขมันบริเวณหน้าท้องเป็นจุดที่สะสมได้ง่ายและลดยาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีพุงป่องหรือลักษณะพุงหมาน้อย การดูดไขมันสามารถช่วยปรับรูปร่างให้หน้าท้องเรียบและดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากขึ้น
  2. ต้นขา
    สำหรับผู้ที่มีต้นขาใหญ่ ดูดไขมันบริเวณต้นขาด้านในและด้านนอกสามารถช่วยให้ขาดูเรียวเล็ก และเพิ่มความมั่นใจในการสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูป
  3. สะโพกและบั้นท้าย
    การดูดไขมันบริเวณสะโพกช่วยลดไขมันส่วนเกินที่ทำให้รูปร่างดูไม่สมส่วน และสามารถทำร่วมกับการเสริมรูปทรงบั้นท้ายให้ดูยกกระชับและเข้ารูปมากขึ้น
  4. ต้นแขน
    ไขมันส่วนเกินที่ต้นแขนเป็นอีกจุดที่หลายคนกังวล การดูดไขมันบริเวณนี้ช่วยให้แขนดูเรียวเล็กและกระชับขึ้น
  5. คางและเหนียง
    ไขมันบริเวณใต้คางหรือเหนียงที่สะสมมากเกินไปทำให้ใบหน้าดูอวบอิ่มเกินไป การดูดไขมันช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวและได้สัดส่วน
  6. แผ่นหลังและบริเวณเอว
    ไขมันบริเวณหลังส่วนบนและเอวทำให้เสื้อผ้าดูไม่เข้ารูป การดูดไขมันช่วยแก้ปัญหานี้ ทำให้หลังดูเรียบเนียนและเอวคอดมากขึ้น
  7. หน้าอกในผู้ชาย (Gynecomastia)
    สำหรับผู้ชายที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าอก การดูดไขมันสามารถช่วยลดขนาดหน้าอกให้ดูสมส่วนและแข็งแรงขึ้น
  8. หัวเข่าและน่อง
    ไขมันสะสมบริเวณหัวเข่าและน่องอาจทำให้ขาดูไม่เรียว การดูดไขมันบริเวณนี้ช่วยปรับรูปทรงขาให้สมดุล

ขั้นตอนการดูดไขมัน

  1. ปรึกษาแพทย์และวางแผนการรักษา
    ก่อนเริ่มการดูดไขมัน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพร่างกายและวางแผนการรักษาให้เหมาะสม โดยแพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และเป้าหมายในการลดไขมันของผู้เข้ารับบริการ พร้อมทั้งแนะนำบริเวณที่เหมาะสมสำหรับการดูดไขมัน
  2. เตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
    ผู้เข้ารับการดูดไขมันควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น งดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาสมุนไพรบางชนิด
  3. ทำการวางยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่
    ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ดูดไขมันและความต้องการของผู้ป่วย แพทย์อาจเลือกใช้ยาชาเฉพาะที่หรือวางยาสลบ เพื่อให้การทำหัตถการเป็นไปอย่างปลอดภัยและไม่รู้สึกเจ็บ
  4. แพทย์ทำการสอดท่อเล็ก ๆ เข้าไปใต้ผิวหนัง
    หลังจากวางยาสลบหรือยาชาแล้ว แพทย์จะทำการเปิดแผลเล็ก ๆ บริเวณที่กำหนดไว้ แล้วสอดท่อขนาดเล็ก (cannula) เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อเตรียมดูดไขมัน
  5. ดูดไขมันออกมาด้วยเครื่องดูด
    แพทย์จะใช้เครื่องดูดไขมันชนิดพิเศษที่สามารถสลายไขมันและดูดออกมาอย่างนุ่มนวล การเลือกเทคนิคดูดไขมัน เช่น Vaser, BodyTite หรือ Power-Assisted Liposuction จะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
  6. เย็บแผลและพันผ้ายืด
    เมื่อทำการดูดไขมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเย็บปิดแผลอย่างระมัดระวัง จากนั้นพันผ้ายืดหรือใส่ชุดกระชับสัดส่วนเพื่อช่วยลดอาการบวม ลดรอยช้ำ และช่วยให้ผิวกระชับเร็วขึ้น
  7. พักฟื้นและดูแลแผล
    หลังการดูดไขมัน ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆ งดการอาบน้ำในช่วงแรก หมั่นทำความสะอาดแผล และมาตรวจติดตามผลตามนัด เพื่อให้แผลหายเร็วและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  8. ติดตามผลระยะยาว
    แม้การดูดไขมันจะช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป แต่การดูแลรักษาผลลัพธ์ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของไขมันใหม่

แผลดูดไขมันมีขนาดเท่าไหร่ ?

แผลที่เกิดจากการดูดไขมันมักมีขนาดเล็กมาก โดยทั่วไปจะมีความกว้างประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นรอยแผลที่เกิดจากการสอดท่อดูดไขมัน (Cannula) เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังผ่านรูเล็ก ๆ ที่แพทย์ทำไว้เพื่อดูดไขมันส่วนเกินออกมา นอกจากขนาดแผลจะเล็กแล้ว ตำแหน่งที่แพทย์เลือกเจาะมักเป็นจุดที่สามารถซ่อนรอยแผลได้ง่าย เช่น บริเวณใต้ร่มผ้า หรือรอยพับตามธรรมชาติของร่างกาย

หลังการดูดไขมัน แผลเหล่านี้จะเริ่มสมานตัวและค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เช่น การทำความสะอาดแผล การป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อ รวมถึงการทาครีมหรือเจลลดรอยแผลเป็นตามคำแนะนำของแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับการดูดไขมันควรหลีกเลี่ยงการเกาแผลหรือสัมผัสแผลโดยตรงเพื่อลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นถาวร

เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบต่างกันยังไง ?

เครื่องดูดไขมันเป็นตัวช่วยที่ได้รับความนิยมในการสลายไขมันส่วนเกินในร่างกาย แต่ละแบบมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. Traditional Liposuction (การดูดไขมันแบบดั้งเดิม)

  • ใช้แรงดูด (Suction) เพียงอย่างเดียวในการดึงไขมันออกจากร่างกาย
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณไขมันส่วนเกินมาก
  • กระบวนการทำค่อนข้างใช้แรงและมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อมากกว่าวิธีที่ใช้เทคโนโลยีช่วย
  • การฟื้นตัวอาจนานกว่า เนื่องจากเนื้อเยื่ออาจช้ำและบวมได้

2. UAL (Ultrasound-Assisted Liposuction)

  • ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ในการสลายไขมันก่อนดูดออก
  • คลื่นอัลตร้าซาวด์จะทำให้ไขมันกลายเป็นของเหลว ทำให้ดูดออกได้ง่ายขึ้น
  • ลดความเสี่ยงในการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
  • เหมาะสำหรับการดูดไขมันในบริเวณที่ดูดออกยาก เช่น แผ่นหลังหรือหน้าอก

3. LAL (Laser-Assisted Liposuction)

  • ใช้เลเซอร์ในการละลายไขมันก่อนดูดออก
  • เลเซอร์ช่วยกระตุ้นการหดตัวของผิวหนัง ทำให้บริเวณที่ดูดไขมันเรียบเนียนมากขึ้น
  • ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อและช่วยลดอาการบวมช้ำ
  • เหมาะสำหรับการดูดไขมันในบริเวณเล็ก ๆ เช่น ใต้คาง ต้นแขน หรือต้นขา

วิธีเตรียมตัวก่อนรับบริการดูดไขมันที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์

ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เราให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวก่อนรับบริการดูดไขมัน เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด ดังนั้น ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

1. งดอาหารและน้ำก่อนการผ่าตัด

  • ผู้เข้ารับบริการควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เพื่อป้องกันความเสี่ยงระหว่างการใช้ยาสลบหรือยาชา ซึ่งอาจเกิดการสำลักและส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้

2. หยุดยาบางชนิดตามคำแนะนำของแพทย์

  • หากผู้เข้ารับบริการกำลังใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหยุดยาชั่วคราวตามคำแนะนำ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว หรือยาที่ใช้อยู่ประจำ เพื่อความปลอดภัยระหว่างการผ่าตัด

3. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

  • ควรงดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อหรือปัญหาเกี่ยวกับการหายของแผล

4. เตรียมตัวผู้ดูแลหลังการผ่าตัด

  • หลังการผ่าตัดดูดไขมัน ผู้เข้ารับบริการอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือเคลื่อนไหวลำบากในช่วงแรก จึงควรเตรียมผู้ดูแลหรือญาติใกล้ชิดมาช่วยดูแลระหว่างพักฟื้น
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการจัดเตรียมพื้นที่พักผ่อนที่สะดวกสบายและอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น หมอนรองหลังหรือเสื้อผ้าหลวม ๆ

5. เตรียมตัวสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังการผ่าตัด เช่น การใส่ชุดกระชับสัดส่วน เพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้ผิวหนังปรับตัวเข้ากับรูปร่างใหม่
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักหรือการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากในช่วงแรก

วิธีดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน

หลังจากการดูดไขมัน การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

  1. สวมชุดรัดตามที่แพทย์แนะนำ : ชุดรัดจะช่วยลดอาการบวมและกระตุ้นให้ผิวหนังกลับเข้าสู่รูปทรงได้เร็วขึ้น ควรสวมตามคำแนะนำของแพทย์และใช้ให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนด
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ : การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับผลกระทบจากการผ่าตัด การนอนให้เต็มอิ่มจะช่วยลดอาการบวมและเร่งการหายของแผล
  3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ในช่วงแรก : ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์แรกหลังการดูดไขมัน เพื่อป้องกันการเกิดแผลหรือความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ
  4. ดื่มน้ำมากๆ : การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกจากระบบ และยังช่วยลดอาการบวมและฟื้นฟูผิวหนังให้ดีขึ้น
  5. ทานอาหารที่มีประโยชน์ : ควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเสริมสร้างการฟื้นฟูร่างกาย เช่น ผักสด, ผลไม้, และอาหารที่มีไขมันดี
  6. มาพบแพทย์ตามนัด : การติดตามผลการรักษากับแพทย์ช่วยให้คุณมั่นใจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น และแพทย์สามารถแนะนำวิธีดูแลตัวเองที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ

การดูแลตัวเองหลังการดูดไขมันอย่างถูกต้องและตั้งใจจะช่วยให้ฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการรักษา

ดูดไขมันที่ไหนดี

ดูดไขมันที่ไหนดี คลินิกที่ดีต้องมีอะไรบ้าง

การเลือกคลินิกดูดไขมันที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ คลินิกที่มีมาตรฐานควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ : ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการดูดไขมันโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • เครื่องมือทันสมัยและได้มาตรฐาน : การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยช่วยให้การดูดไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
  • มีใบอนุญาตถูกต้อง : ควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าคลินิกมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายและได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • มีการดูแลหลังการรักษาที่ดี : คลินิกที่ดีควรมีการติดตามผลและดูแลคุณหลังการทำหัตถการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนและฟื้นฟูร่างกายได้ดี
  • รีวิวจากผู้ใช้บริการ : ดูรีวิวจากผู้ใช้งาน หลายคนต่างบอกต่อว่าได้รับความพึงพอใจทั้งผลลัพธ์และการบริการ ที่สำคัญทุกขั้นตอนดำเนินการภายในคลินิกที่สะอาด ทันสมัย และใส่ใจในความปลอดภัยสูงสุด

หากคุณต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการดูดไขมัน รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ พร้อมให้คำแนะนำอย่างละเอียดและเป็นกันเอง และยังมีทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ตั้งแต่การวางแผนการรักษาจนถึงการดูแลหลังการรักษา เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้รับบริการ

ดูดไขมันราคาเท่าไหร่

การดูดไขมันมีราคาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของพื้นที่ที่ต้องการดูดไขมัน ปริมาณไขมันที่ต้องการกำจัด รวมถึงเทคนิคที่ใช้ในการทำ โดยทั่วไป ราคาอาจเริ่มต้นที่ประมาณ 30,000 บาท และอาจสูงถึง 200,000 บาท สำหรับการดูดไขมันในพื้นที่ขนาดใหญ่หรือใช้เทคนิคที่ซับซ้อน เช่น การดูดไขมันด้วยเลเซอร์หรือ Vaser Liposuction ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการสลายไขมันและกระชับผิว ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เรามีราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่า พร้อมทั้งโปรโมชั่นพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำหัตถการนี้ได้ในราคาที่เป็นมิตร พร้อมการบริการที่ปลอดภัยและมีคุณภาพจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูดไขมัน (FAQ)

การดูดไขมันเจ็บไหม?

ระหว่างทำจะไม่เจ็บเนื่องจากมีการใช้ยาชาหรือยาสลบ แต่หลังจากนั้นอาจรู้สึกตึงหรือปวดเล็กน้อย

ใช้เวลาฟื้นตัวนานแค่ไหน?

ประมาณ 1-2 สัปดาห์สำหรับการใช้ชีวิตปกติ และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 2-3 เดือน

จะมีรอยแผลหรือไม่?

มีแผลเล็ก 2-5 มิลลิเมตรที่บริเวณที่ทำ แต่จะเลือนหายไปเมื่อได้รับการดูแลที่เหมาะสม

ต้องพักรักษาตัวนานเท่าไหร่?

ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 3-5 วัน แต่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก 1-2 สัปดาห์

สามารถทำซ้ำได้หรือไม่?

สามารถทำซ้ำได้ในกรณีที่มีไขมันสะสมใหม่ แต่ควรรอเวลาให้ร่างกายฟื้นตัวก่อน

สรุป

การดูดไขมันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับรูปร่างให้สวยงาม แต่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญและในสถานที่ที่ได้มาตรฐาน รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการดูดไขมัน ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือทันสมัย และการดูแลหลังการรักษาที่ยอดเยี่ยม คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและน่าพึงพอใจ หากคุณกำลังพิจารณาการดูดไขมัน ที่นี่เราพร้อมให้คำปรึกษาและบริการที่ดีที่สุดแก่คุณ

Back To Top