ดีท็อก
ในปัจจุบันมีอาหารหลากหลายทั้งสด ทั้งแปรรูป ออร์แกนิค และทุกคนก็เริ่มหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต อาหาร การออกำลังกาย การบำบัดผิวและสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง การขจัดสารพิษหรือบางคนเรียกว่า ดีท็อก จึงเข้ามามีบทบาทไม่มากก็น้อย
ดีท็อกซ์(Detox) เป็นการเอาสารพิษ และสิ่งสกปรกที่ตกค้างในร่างกายออกมา คำว่า Detox นั้นมาจากคำเต็มว่า Detoxification ที่มีความหมายว่าล้างพิษ การดีท็อกซ์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ดีท็อกผม ดีท็อกผิว ดีท็อกสวนล้างลำไส้ ที่นิยมมากในการดีท็อกคือ การสวนล้างลำไส้ ซึ่งการสวนล้างลำไส้คือ การเอาน้ำใส่เข้าไปในลำไส้แล้วล้างเอาอุจจาระออกมา
การดีท็อกซ์หรือการสวนล้างลำไส้ เป็นวิธีการหนึ่งของแพทย์แผนโบราณใช้รักษาโรคหรือการเจ็บป่วย โดยทำให้ถ่ายอุจจาระ เพราะเชื่อว่าการระบายเอาอุจจาระออกสามารถทำให้ไข้ลดลงได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ายาแผนโบราณหลาย ๆ ตัวจะออกฤทธิ์ทำให้ระบาย แต่วิธีที่จะทำให้ระบายออกมาก ๆ ก็ใช้วิธีสวนล้างอุจจาระออกมาเลยจะทำให้อาการดีขึ้น การทำดีท็อกซ์จึงมีการปฏิบัติมายาวนาน
การทำ ดีท็อกลำไส้ มีหลายสูตรหลายวิธีที่เน้นด้วยการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะการถ่ายอุจจาระ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกตัวเบา ซึ่งการทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ไม่แนะนำให้ทำ ถ้าจำเป็นจริง ๆ ควรทำเป็นครั้งคราวมากกว่า ที่จริงแล้วการขับถ่ายมีเพียงของเสียและน้ำเท่านั้น ร่างกายไม่ได้เผาผลาญไขมันส่วนเกินแต่อย่างใด ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เสียเกลือแร่และวิตามินเป็นจำนวนมากจากการขับถ่ายอุจจาระจนเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้
การทำดีท็อกซ์ ถ้าหากจำเป็นต้องทำควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าต้องทำจริง โดยแพทย์จะเป็นผู้ตรวจและวินิจฉัยว่าเห็นสมควร ซึ่งหากมีอาการปวดท้องหรือเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่แนะนำให้ทำเพราะไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าทำแล้วก็จะต้องทำบ่อย ๆ และจะต้องทำไปตลอดเมื่อมีอาการ
การทำดีท็อกซ์เป็นกรรมวิธีทางการแพทย์ ดังนั้นควรทำโดยแพทย์หรือพยาบาลจะดีที่สุด เพราะเป็นการเอาน้ำใส่เข้าไปทางลำไส้ใหญ่ บีบไล่น้ำขึ้นไป เมื่อน้ำที่เข้าไปก็มีการแลกเปลี่ยน มีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ถ้าหากทำไม่ถูกวิธีหรือใส่น้ำที่มีความเข้มข้นไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หรืออาจทำให้มีโซเดียมสูงหรือต่ำเกินไปในกระแสเลือดได้ ที่สำคัญภ้าหากใส่น้ำในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้ลำไส้มีการโป่งมากขึ้น ลำไส้บางคนที่มีโรคอาจทำให้ลำไส้แตกหรือทะลุ และอาจมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เพระบางคนอาจมีโรคลำไส้โป่งพองแล้วไปทำอาจเกิดอันตรายได้ ดังนั้นควรทำโดยอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ จะดีที่สุด
ขั้นตอนการทำดีท็อก
จั้นตอนดูไม่ยุ่งยากทำได้ง่าย ๆ คือ การใช้อุปกรณ์ใส่น้ำหรือสารบางอย่าง เช่น น้ำเกลือ (NSS) บีบสวนเข้าทางทวารหนักและบีบไล่น้ำขึ้นไป ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ความระมัดระวังลำไส้แตกหรือทะลุได้ถ้ามีภาวะของโรคอยู่ หลังจากนั้นน้ำจะเข้าไปกวาดเอาสิ่งสกปรก แล้วขับออกมาทางอุจจาระ (ลักษณะคล้ายการเร่งถ่าย)
ประโยชน์ของการดีท็อกซ์
การดีท็อกซ์ด้วยการสวนล้างลำไส้ มีประโยชน์ที่อาจเป็นไปได้ดังนี้
1.ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ถ่ายยาก อุจจาระไม่ออก
2.ช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome) ท้องผูกสลับกับท้องเสีย
3.ช่วยให้น้ำหนักลดลงชั่วคราว เพราะถ่ายของเสียออกมา ไม่ใช่ยาลดน้ำหนักนะคะ
4.ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เพราะของเสียที่ตกค้างเป็นเวลานานได้ถูกขับออกมาหมด ซึ่งของเสียคั่งค้างเป็นปัจจัยเสริมเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้
5.ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น เนื่องจากลำไส้ดูดซึมได้ดีขึ้น รู้สึกมีพลังงานมากขึ้น
ข้อควรระวังในการดีท็อกซ์
1.ร่างกายขาดน้ำจากการขับถ่ายออกเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว หลายคนสวนล้างลำไส้เพราะต้องการลดน้ำหนักด้วยความรวดเร็ว ทำให้ของเหลวออกจากร่างกายมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้
2.ทำไม่ระวัง ลำไส้ทะลุได้ หากใช้น้ำปริมาณมากเกินไปหรือใช้อุปกรณ์ผิดวิธี อาจทำให้ลำไส้โป่งจนแตกจากแรงดันที่มากเกินไปได้หรือบางคนมีภาวะของโรคอยู่แล้ว
3.อาจเกิดการติดเชื้อ เช่นหาซื้อของเหลวสารมาสวนล้างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ หรือน้ำเปล่าก็ตาม อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้จากการที่อุปกรณ์ไม่สะอาด และยังอาจล้างเอาแบคทีเรียบางชนิดที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ออกไปอีกด้วย
4.การเสียสมดุลของเกลือแร่ ลำไส้เป็นอวัยวะที่ดูดซึมน้ำและสารอาหาร ดังนั้นเมื่อทำการสวนล้างลำไส้จึงเกิดการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกายและของเหลวที่สวนเข้าไป หากใช้ส่วนผสมที่เข้มข้นเกินไปลำไส้ดูดซึมเข้าไปทำให้ได้รับแร่ธาตุเกินความต้องการ หรือถูกขับออกมากจนเสียเกลือแร่มากเกินไปทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่ ทำให้เกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุลได้
ดีท็อกดูเหมือนง่ายไม่มีอันตราย แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็มีความเสี่ยงสูงนะคะ ไม่ว่าจะลำไส้แตก ทะลุ การสูญเสียเกลือแร่มากเกินไปจากการขับถ่าย การได้รับเกลือแร่มากเกินไปจากสารที่มีความเข้มข้นเกินไป ทำให้เสียสมดุลในร่างกาย ซึ่งนั่นหมายความว่าการดีท็อกต้องอาศัยความชำนาญไม่น้อยเลย ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ หรือต้องทำโดยมีบุคลากรทางการแพทย์ เช่น หมอ พยาบาล คอยกำกับดูแล ที่จริงแล้วแพทย์จะสวนล้างลำไส้ในกรณีที่เห็นสมควรเท่านั้น เช่น มีปัญหาท้องผูกอย่างหนัก กำลังจะรับการผ่าตัดบางชนิด หรือกำลังจะรับการเอกซเรย์ลำไส้ (และกลัวอุจจาระบังภาพ) เลือกทำดีท็อกซ์ให้ถูกที่ มีบุคลากรทางการแพทย์กำกับดูแล จะได้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด