ปัญหากังวลใจสาว ๆ หลาย ๆ คนคงหนีไม่พ้นไขมันหน้าท้อง หรือที่เรียกกันว่า พุง เพราะหน้าท้องที่มีไขมันสะสมนั้นยื่นจนดูไม่สวยงาม ทำให้แต่งตัวชุดไหนก็ไม่มั่นใจ ต้องเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ขึ้นเพื่อปกปิดพุง ถึงแม้ว่าพุงจะเป็นไขมันส่วนเกินที่ลดได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย เพราะถ้าหากมีวินัยและมีความตั้งใจจริง ก็สามารถทำให้พุงหายไปได้
พุง คือ การสะสมของไขมันส่วนเกินที่อยู่บริเวณรอบเอว และหน้าท้อง เป็นไขมันที่กำจัดออกได้ยาก และยังเป็นบริเวณที่ดึงออกมาใช้ทีหลังสุด ซึ่งมีทั้งหมด 5 ประเภท ดังนี้
1.พุงยางอะไหล่ (Spare Tyre Tummy) คือพุงที่มีลักษณะเป็นชั้น เกิดขึ้นจากการรับประทานน้ำตาล ของหวาน และไม่มีการออกกำลังกาย เป็นพุงที่ลดได้ยากมากที่สุด เมื่อรับประทานของหวานเข้าไปมาก ๆ ก็จะยิ่งทำให้เกิดไขมันไปสะสมที่บริเวณหน้าท้อง โดยเฉพาะพุงส่วนล่างที่สามารถสะสมไขมันได้ง่าย สามารถยืดขยายเพื่อสะสมไขมันไว้ได้มากกว่าส่วนอื่น เป็นสาเหตุให้มีพุงล่างที่ใหญ่ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
2.พุงเครียด (Stress Tummy) คือพุงที่มีลักษณะแข็งตั้งแต่บริเวณกระบังลมไปจนถึงสะดือ เกิดจากความเครียดสะสม มีระบบทางเดินอาหารที่แปรปรวน การย่อยการดูดซึมไม่ค่อยดี
3.พุงหมาน้อย (The Little Pooch) เป็นประเภทของพุงที่มักพบได้ในคนที่มีรูปร่างผอม มีลักษณะป่องที่ช่วงล่างของพุง เกิดจากการรับประทานอาหารแบบเดิมซ้ำ ๆ หรืออาจจะออกกำลังกายผิดวิธีอีกด้วย
4.พุงคุณแม่ (Mummy Tummy) เป็นพุงที่จะพบในคุณแม่หลังคลอด เนื่องจากมดลูกยังไม่เข้าที่ทำให้ดูมีพุงอยู่ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ พุงก็จะค่อย ๆ ยุบลง แต่ก็ต้องออกกำลังกายอย่างถูกวิธีควบคู่ด้วย
5.พุงป่อง (Bloated Tummy) คือพุงที่มักจะบวมอืดขึ้นในช่วงเย็น เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีแป้ง และส่วนผสมของนม จนทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหาร กลายเป็นอาการท้องอืดในที่สุด โดยพุงชนิดนี้มักจะหายไป หากอาการท้องอืดลดลง
วิธีลดพุง
วิธีลดพุงด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ แต่ได้มีประสิทธิภาพ ก็มีหลายวิธี ดังต่อไปนี้
1.เลิกดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำตาลในเครื่องดื่มเป็นศัตรูของการลดน้ำหนักอย่างแท้จริง ทำให้อ้วน และเกิดไขมันส่วนเกินสะสมที่บริเวณหน้าท้องและตับด้วย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง หันมาดื่มน้ำเปล่าแทน
2.รับประทานโปรตีนให้มากขึ้น โปรตีนมีสำคัญที่ช่ในการลดน้ำหนักมาก เนื่องจากเมื่อรับประทานโปรตีนมากขึ้น จะช่วยลดความหิวลงได้ถึง 60% และกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึงวันละ 80-100 แคลอรี่ ดังนั้นจึงควรหันมาเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนให้มากขึ้น จะช่วยให้อิ่มนานมากขึ้น
3.ลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตถือเป็นอีกสารอาหารหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย แต่การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงในแต่ละมื้ออาหารที่รับประทาน สามารถช่วยลดไขมันที่หน้าท้องรอบอวัยวะต่าง ๆ หรือไขมันในตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ร่างกายถึงเอาไขมันส่วนเกินที่เก็บสะสมไว้ออกมาใช้ คือการลดการสะสมเพิ่มเติมของแป้งและน้ำตาล ร่างกายจึงเริ่มดึงเอาไขมันสะสมออกมาใช้งานนั่นเอง
4.รับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดที่ดี ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ทำให้สุขภาพที่ดี รูปร่างที่ผอมเพรียว
5.หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ไขมันมีหลากหลายชนิด แต่ไขมันที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินในร่างกายมากที่สุด คือ ไขมันทรานส์ เพราะทำให้เกิดไขมันสะสมที่หน้าท้อง และเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและอันตรายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
6.รับประทานอาหารไฟเบอร์สูงให้มากขึ้น นอกจากไฟเบอร์ในอาหารจะมีส่วนในการกระตุ้นระบบขับถ่ายแล้ว ยังส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก อีกทั้งช่วยลดไขมันที่หน้าท้อง ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยมีการศึกษาพบว่าไฟเบอร์ในอาหารบางชนิด มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ ทำให้ร่างกายนำเอาไขมันส่วนเกินมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น
7.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี จะช่วยให้ร่างกายนำไขมันส่วนเกินออกมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้มากขึ้น ทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที อาจจะแบ่งเวลาเป็น 15 นาทีเล่นเวทเทรนนิ่ง อีก 15 นาทีเล่นคาร์ดิโอ เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินกับการดึงเอาพลังงานไขมันสะสมมาใช้แทนพลังงานจากอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ก็ช่วยให้คุณลดน้ำหนักอย่างได้ผลและปลอดภัยได้แล้ว
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่แนะนำ ได้แก่ เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอโรบิก และอื่น ๆ ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อย เหงื่อออก ใจเต้นเร็วขึ้น
8.หลีกเลี่ยงความเครียด ความเครียดนำมาซึ่งความอ้วนโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าเมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียด ทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น อย่ารับประทานเพื่อคลายเครียด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางผอมแน่นอน
9.นอนหลับให้เพียงพอ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเราอ้วนขึ้นได้คือ การนอนหลับไม่เพียงพอ เพราะการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ จะทำให้มีแนวโน้มที่จะมีพุงก็สูงขึ้น ถ้าไม่อยากให้สุขภาพเสีย น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-9 ชั่วโมง
10.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันที่หน้าท้อง เมื่อดื่มมากก็จะยิ่งทำให้ไขมันสะสมมากขึ้น แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ
11.กินอาหารรวบมื้อ รวบมื้ออาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างวันให้เหลือไม่เกินวันละ 3 มื้อ ลดการกินจุบจิบระหว่างวันลง ให้รวบไปกินพร้อมกันหลังมื้ออาหารหลักอย่างมื้อเช้า กลางวัน หรือมื้อเย็นแทน จะช่วยให้ร่างกายได้พักจากการรับอาหาร และย่อยอาหารได้แล้ว
12.กำหนดเวลาหยุดกินหรือที่เรียกกันอย่างคุ้นหูว่านี่คือวิธีในการทำ IF (Intermittent Fasting) คือการกำหนดช่วงเวลาในการกินอาหาร-งดมื้ออาหาร สูตรเวลาที่เป็นที่นิยมกันคือ 16/8 หมายถึง กินอาหารได้ 8 ชั่วโมง งดมื้ออาหารไป 16 ชั่วโมง ไม่กินมื้อเล็กมื้อน้อยพร่ำเพรื่อแล้ว การปล่อยให้ช่วงเวลาหนึ่งของร่างกายเข้าสู่ภาวะ “อด” บ้าง ก็ช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานไขมันสะสมในร่างกายมาใช้ได้ด้วย
13.สร้างกล้ามเนื้อ ปริมาณมวลกล้ามเนื้อเป็นปัจจัยที่บ่งชี้ว่าเผาผลาญพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน มวลกล้ามเนื้อที่แน่ด้วยการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง จะช่วยให้เมื่อกลับไปกินอาหารเหมือนเดิม จะไม่กลับไปอ้วนง่ายเหมือนแต่ก่อน เพราะเราจะเริ่มมีกล้ามเนื้อ และระบบเผาผลาญพลังงานที่ดี การจะสร้างกล้ามเนื้อให้ดี ควรกินโปรตีนให้เพียงพอ เช่น เนื้อสัตวไขมันต่ำ นม ไข่ และออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อ
การลดน้ำหนักเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าหากมีความตั้งใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ต้องอดข้าว ไม่ต้องโหมออกกำลังกาย ก็ลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยและได้ผล หุ่นดีไร้พุง รูปร่างสมส่วนสวยงามและมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นของขวัญอีกด้วย