สิวผด (Acne Estivalis) คือ สิวที่สามารถพบได้บ่อยเมื่ออากาศร้อนหรือมีเหงื่อออก มีลักษณะคล้ายผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ สีแดง พบได้มากบริเวณหน้าผากและขมับ โดยสิวผดมักจะเห่อขึ้นมาในช่วงบ่าย และอาการจะลดลงไปได้เองในช่วงเย็น
สิวผด (Acne Estivalis) เป็นสิวประเภทหนึ่งที่สามารถพบได้บ่อย มีลักษณะคล้ายกับผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ สีแดงและอาจมีอาการคันร่วมด้วย มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผากและขมับ โดยมีทั้งประเภทอักเสบและไม่อักเสบ ส่วนใหญ่สิวผดจะเห็นได้ชัดเวลาอากาศร้อนหรือมีเหงื่อออก เช่น มีสิวผดเห่อขึ้นตอนบ่าย และอาการจะลดลงไปเองในตอนเย็นหรือตอนเช้า
สิวผด เป็นสิวประเภทที่สาวๆ หลายคนรำคาญมากที่สุดค่ะ เพราะมันมักจะขึ้นตามบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผากและขมับ ลักษณะคล้ายผื่นแดงเล็กๆ ยิ่งช่วงอากาศร้อนมากๆ สิวผดจะเห่อมากกว่าปกติ เพราะการอุดตันของต่อมไขมัน
สาเหตุของสิวผด
สิวผดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
1.เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง เรียกว่า P.OVALE ซึ่งเชื้อดังกล่าวจะทำปฏิกิริยากับผิวบริเวณต่อมไขมันบนผิวหน้า เช่น หน้าผาก จมูก คาง จนทำให้เกิดเป็นสิวผดขึ้นมา
2.เกิดจากอาการแพ้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากผิวหนังโดนแสงแดดและความร้อน ทำให้ผิวหนังต้องเร่งการขับเหงื่อ แต่เมื่อต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกได้หมด ก็จะทำให้เกิดการอุดตัน กลายเป็นตุ่มน้ำเล็ก ๆ คล้ายกับผดผื่น ถ้าอากาศร้อนขึ้น สิวผดก็จะเห่อขึ้น
3.เกิดการระคายเคืองบนผิวหนัง เช่น การแพ้ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง มลภาวะต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม ทั้งทางน้ำและทางอากาศ
4.การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น สาวที่มีผิวหน้าแห้ง แต่ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับหน้ามัน ก็จะทำให้ผิวหน้ายิ่งแห้งมากขึ้น จึงเกิดความระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดสิวผดได้
5.อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ล้างหน้าอุ่นหรือร้อนเกินไป ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวผดและสิวประเภทอื่นได้
6.การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือรับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วน ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผดได้เช่นกัน
7.เกิดการแพ้และระคายเคืองบนผิวหนัง ส่วนใหญ่ผิวผดมักเกิดจากผิวหนังโดนแสงแดดและความร้อน ทำให้ผิวหนังต้องเร่งการขับเหงื่อ และเมื่อต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกได้หมดก็จะทำให้เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิวผดขึ้นมา นอกจากนี้ยังเกิดได้จากการแพ้ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง มลภาวะต่าง ๆ
8.เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง เชื้อราที่ชื่อ P.OVALE จะทำปฏิกิริยากับผิวบริเวณต่อมไขมันบนผิวหน้า เช่น หน้าผาก จมูก คาง จนทำให้เกิดเป็นสิวผด
9.การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง แต่กลับไปใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ก็จะทำให้ผิวหน้าแห้งมากยิ่งขึ้น จนเกิดความระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดสิวผด
10.ความเครียด หากมีความเครียดมากจนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผดได้
11.อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ล้างหน้า การใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเป็นประจำ จะทำให้ผิวหน้าแห้งตึงจนเกิดการระคายเคือง ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวผดรวมไปถึงสิวประเภทอื่น ๆ ได้
วิธีรักษาสิวผด
วิธีรักษาสิวผด ถือเป็นหนึ่งในปัญหาผิวหน้าของสาว ๆ ที่มักจะเห่อขึ้นมาตอนอากาศร้อน สำหรับวิธีรักษาสิวผดที่สำคัญต้องรู้จักดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่รับประทานของมันของทอด ไม่รบกวนผิวหน้า ทั้งขัดหน้า แกะ เกา เพราะจะยิ่งกระตุ้นสิวที่มีอยู่แล้วให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น
อากาศร้อน แสงแดด และมลภาวะ รวมถึงการใส่หน้ากากอนามัยจนผิวหน้าเกิดการระคายเคืองจากการเสียดสี ส่งผลให้ต้องเจอกับปัญหาผิวสารพัด โดยเฉพาะ”สิวผด” ที่มักเกิดจากการแพ้ ช่วงอากาศร้อน ๆ ทำให้เกิดเป็นผื่นแดงและคันได้ง่าย มีข้อปฏิบัติในการรักษาสิวผดง่าย ๆ ดังนี้
1.ล้างหน้าให้สะอาด
ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง การล้างหน้าบ่อย ๆ จะยิ่งกระตุ้นการเกิดสิวผดให้รุนแรงขึ้น และไม่ควรใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้าเพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้ง จนเกิดการระคายเคือง หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยสบู่ และสำหรับสปอร์ตเกิร์ล หลังออกกำลังกายควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมันบนใบหน้า และแบคทีเรีย
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง
ครีมลดสิวผดที่ดีคือการดูแลให้เกราะปกป้องผิวแข็งแรงขึ้น เพราะคนที่เป็นสิวผดมักมีผิวอ่อนแอแพ้ง่าย ต้องเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย และปราศจากสารที่ทำให้ระคายเคือง
3.หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดและความร้อนเป็นสาเหตุหลักของปัญหาสิวผด วิธีรับมือกับแสงแดดที่ง่ายที่สุดก็คือการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิว และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน โดยการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีความมันน้อย เช่น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 PA+++ สวมหมวก แว่นตากันแดด กางร่ม
4.เลี่ยงการสครับผิว
การสครับผิวจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกเกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้น แต่หากสครับผิวบ่อยเกินไป แรงเกินไปอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองจนเกิดสิวผดได้
5.พอกหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
ผักผลไม้ที่มีไลโคปีน แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน และวิตามินต่าง ๆ นั้นมีผลดีต่อร่างกาย และสามารถนำมาเป็นส่วนผสมในการพอกหน้าเพื่อรักษาสิวผดได้
วิธีที่ 1. สูตรหน้าใสด้วยน้ำมะนาว
มะนาวลูกเดียวรักษาได้ทั้งหน้า มะนาวมีกรดผลไม้ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ทำให้รูขุมขนสะอาด และช่วยให้จุดด่างดำจางลง เริ่มแรกคือ คั้นน้ำมะนาวสด ๆ แล้วนำมาผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย เพื่อไม่ให้น้ำมะนาวเข้มข้นจนเกินไปเดี๋ยวจะแสบหน้า เสร็จแล้วนำสำลีชุบน้ำมะนาวที่เตรียมไว้แล้วเช็ดบริเวณที่เป็นสิวผดพอกทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำวิธีสัปดาห์ละครั้งสิวผดจะค่อยๆ ลดลงไปในที่สุด
วิธีที่ 2. สูตรพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ
มะเขือเทศมีทั้งไลโคปีน แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน และ วิตามินต่าง ๆ ที่ดีต่อผิวและยังสามารถรักษาสิวผดได้อีกด้วย แค่นำมะเขือเทศไปปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผิวหน้าจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้นและสิวผดก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
วิธีที่ 3. ไข่ขาว
ไข่ขาวยังมีส่วนช่วยพิชิตสิวผดได้เป็นอย่างดี นำไข่ไก่สด ๆ มาแยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกัน โดยวิธีนี้เราแนะนำว่าให้ใช้ไข่สดๆ นะคะ เพราะจะได้ไม่คาวนั่นเองค่ะ เริ่มแรกแยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกัน แล้วนำไข่ขาวนั้นมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วล้างออกเป็นการขับสารพิษ ช่วงแรกจะทำให้สิวเห่อได้ เพราะเป็นช่วงที่มีการขับสารพิษออกมา ให้อดทนทำต่ออีก 2-3 วันแล้วผิวหน้าของเราก็จะเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ
6.ทำเลเซอร์
สำหรับคนใจร้อน วิธีเร่งด่วนอย่างการทำเลเซอร์ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ การทำเลเซอร์นับเป็นวิธีกำจัดสิวผดได้รวดเร็ว แต่อาจทิ้งรอยดำไว้บนใบหน้า
7.ใช้ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
สิวผดที่เกิดจากเชื้อยีสต์ สามารถใช้ยาคีโตโคนาโซลในรูปแบบทาภายนอกได้ ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากกว่าชนิดรับประทาน แต่ต้องเป็นการใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์
8.ใช้ยาอะดาพาลีน (Adapalene)
เป็นกลุ่มเดียวกับกรดวิตามินเอ ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รูขุมขนเล็กลง ต่อมไขมันทำงานลดลง หน้ามันน้อยลง ใช้ทาก่อนนอน เพื่อให้สิวผดผุดขึ้นมา แล้วค่อยกำจัดออกภายหลัง ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
สภาพอากาศและมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหา “สิวผด” ขึ้นซึ่งเป็นสัญญาณของผิวที่อ่อนแอและทำให้ขาดความมั่นใจ ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นจึงควรรีบแก้ไข สามารถเลือกตามข้อแนะนำข้างต้นได้หรือไปปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาซึ่งมีทั้ง การรับประทานยา ทายา หรือแม้กระทั่งการทำเลเซอร์ แพทย์จะเลือกให้ตามความเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสเช่นเดิม